บางคนอาจนึกโมโหตัวเองที่อยากลืมอดีตแต่กลับยิ่งจำฝังใจ โดยเฉพาะอดีตที่เจ็บปวด แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับนำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้เพื่อรักษาความทรงจำของเธอไว้ จากโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ที่กำลังทำให้เธอสูญเสียความทรงจำไปทีละน้อยๆ
อลิซ ไม่ลืม หรือ Still Alice เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นสูญเสียความทรงจำ ผ่านตัวเอกของเรื่องคือ “อลิซ” (แสดงโดย จูลีแอนน์ มัวร์) ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่กำลังมีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ ชีวิตการงานและครอบครัวของเธอสมบูรณ์แบบ มีลูกที่น่ารัก 3 คน และสามีก็กำลังเติบโตในหน้าที่การงานของตนเอง
ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะไปได้สวย จนกระทั่ง อลิซ เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในตัวเธอ เธอเริ่มจดจำคำบางคำไม่ได้ นึกไม่ออกแม้กระทั่งบทเรียนที่จะใช้สอน หรือ ถึงขั้นหลงทางเพราะจำเส้นทางที่วิ่งออกกำลังกายทุกวันไม่ได้ อาการของเธอแย่ลงเรื่อยๆ จนเธอตัดสินใจไปพบแพทย์และได้รับการยืนยันว่าเธอป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ชนิดที่พบได้ยากในคนอายุรุ่นราวคราาวเดียวกันกับเธอ
ความน่าสนใจของเรื่องนี้เริ่มจากจุดนี้ เพราะทุกคนในบ้านต้องปรับตัวเข้ากับอาการหลงๆ ลืมๆ ของ อลิซ ในภาพยนตร์ยังสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่อลิซต้องต่อสู้กับตัวเองและสถานการณ์รอบข้าง ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่แนวบู๊ แอคชั่น หรือ ตลกขบขัน แต่เป็นแนว โรแมนติคผสานดราม่า ที่ให้ทั้งข้อคิดและสะท้อนภาพชีวิตครอบครัวได้ดี โดยเฉพาะบทสรุปของเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของคนในครอบครัว
ผมยอมรับว่าระหว่างดูภาพยนตร์เรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเองอยู่เป็นระยะๆ ว่าหากเราเกิดป่วยแบบเดียวกับ อลิซ เราจะจัดการชีวิตให้ผ่านแต่ละวัน แต่ละวันไปได้อย่างไร และถ้าเราเป็น 1 ในสมาชิกของครอบครัวนี้ เราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รู้ว่าโรคอัลไซเมอร์นี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม สู่ลูกและหลานได้ด้วย
แม้การดำเนินเรื่องจะเป็นไปแบบเรื่อยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นหรือหวือหวาอะไรมากมาย แต่ถือว่าไม่น่าเบื่อจนหลับ เพราะนักแสดงแต่ละคนแสดงได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จูลีแอนน์ มัวร์ ที่รับบทเป็น “อลิซ” เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ผ่าน สีหน้าและ ท่าทาง ได้ดีจนเราอินไปด้วยโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีนักแสดงมากฝีมืออย่าง คริสเตน สจ๊วต แห่ง Twilight มารับบทเป็น “ลิเดีย” ลูกคนเล็กของอลิซในเรื่องนี้ที่แสดงได้ดีมากอีกคนหนึ่ง หากจะมีจุดที่ขัดใจผมบ้างเล็กน้อย คงจะเป็นตอนจบของเรื่อง ที่จบกันแบบดื้อๆ เหนือความคาดหมาย ผมลองหันไปดูผู้ชมในโรงตอนเปิดไฟแล้ว หลายคนยังนั่งงงๆ อยู่ที่เก้าอี้เลย อย่างไรก็ตามหากมองในภาพรวม ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าโอเค สร้างความประทับใจ และให้ข้อคิดดีๆ ทำให้เข้าใจผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว
ผมขอให้คะแนนในส่วนของการดำเนินเรื่อง 8/10 ส่วนของนักแสดง 9/10 ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ 8.5/10 สรุปภาพรวมให้ 8.5/10 ตีตั๋วเข้าไปดูได้ ไม่เสียดายตัง หากอยากรู้ว่าสนุกสนานและน่าสนใจแค่ไหน รีบไปดู “อลิซ…ไม่ลืม” หรือ Still Alice กันได้เลยครับ
อาจารย์บอม
ปล. ความคิดเห็นและคะแนนที่ให้ในบทความนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ท่านผู้อ่านมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะเห็นด้วยหรือเห็นต่างครับ ..ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ 🙂
ผมก็อึ้งๆ ตอนจบเหมือนกันนะครับ แต่ก็คิดว่า หนังค่อนข้างสรุปได้ดีจึงไม่ตะขิดตะขวงมากนักกับการจบแบบนี้ ประโยคสุดท้ายของอลิซ บอกอะไรได้หลายๆ อย่างและมันก็ซึ้งกินใจมากด้วย