ว่ากันว่า เหตุผลหลักที่ประธานาธิบดีสหรัฐออกกฎห้ามไม่ให้คนจาก 6 ประเทศมุสลิม เดินทางเข้ามาในสหรัฐนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเหล่านั้น เข้ามาก่อการร้ายในประเทศของตน แต่สิ่งที่ปราฏในงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ล่าสุด อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านประธานาธิบดีคิด เพราะผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายของเครือข่าย ISIS ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชาวอเมริกัน หรือผู้ที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแทบทั้งสิ้น ไม่ใช่ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศอีกต่อไป
รายงานฉบับนี้ ได้ทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 125 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยว่าหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการ ISIS โดยพบว่าส่วนใหญ่ (83%) เป็นพลเมืองอเมริกัน และ 65% เกิดในสหรัฐด้วย เขาเหล่านั้นไม่ใช่คนโสดหรือโดดเดี่ยว ไร้ญาติขาดมิตร ส่วนใหญ่ยังได้รับการศึกษาที่ดี ถึงในระดับวิทยาลัย และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ 30% เพิ่งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามได้ไม่นาน
ในรายงานฉบับนี้ ดร. Robert Pepe ได้สรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า หลังเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เมื่อ 9 กันยายน 2001 รัฐบาลสหรัฐได้เพิ่มมาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เหตุไฉน เครือข่ายก่อการร้ายอย่าง ISIS ก็ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยพวกเขาหันไปใช้ สื่อสังคมออนไลน์ และ โซเชียลมีเดีย เพื่อแสดงให้ผู้คน ตระหนักถึงความเลวร้ายต่างๆ นานา ที่รัฐบาลอเมริกันกระทำต่อชาวมุสลิม ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้ ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อโดยมุ่งเป้าการสื่อสารไปยังคนอเมริกันที่มีถิ่นพำนักในสหรัฐโดยตรง
ดร. Robert Pepe มองว่า การใช้โซเชียล มีเดีย ในการโฆษณาชวนเชื่อ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ลงลึกไปถึงระดับฐานรากของสังคมอเมริกัน เพราะในอดีตผู้ก่อการร้ายมักเป็นคนต่างชาติ ที่สามารถหลุดรอดจากกระบวนการตรวจสอบคนเข้าเมือง แต่ปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นคนอเมริกันเองที่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายปฏิบัติการให้กับ ISIS การโฆษณาชวนเชื่อบนโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย คือปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลในการโน้มน้าว ผู้คนเป็นจำนวนมาก จนทำให้สามารถก้าวข้ามกำแพงแห่งการคัดกรองและตรวจสอบของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไปได้อย่างง่ายดาย ในทางกลับกัน การที่ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ พยายามที่จะออกกฎห้ามผู้คนจากประเทศมุสลิม 6 ประเทศ เดินทางเข้าสหรัฐนั้น กลับกลายเป็นการซ้ำเติม ให้ขบวนการก่อการร้าย นำเรื่องนี้ไปขยายผล บนโลกออนไลน์ ให้ผู้คนเห็นถึงสิ่งเลวร้ายที่รัฐบาลอเมริกามุ่งกระทำต่อชาวมุสลิมโดยเฉพาะ ดร. Robert Pepe สรุปว่าสิ่งที่สำคัญและจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ คืองานข่าวกรองฯ ที่จะทำให้รู้ให้เท่าทันและหาทางป้องกัน การปฏิบัติการชวนเชื่อของกลุ่มก่อการร้ายบนโลกออนไลน์
โดยส่วนตัวผมมองว่า บทบาทของ Social Media ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือที่ไว้ใช้พูดคุยหรือสื่อสารกันระหว่างเพื่อนฝูงญาติมิตร เหมือนแต่ก่อน แต่ยังแผ่ขยายอิทธิพลออกไปยังแวดวง ธุรกิจและการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองคนในประเทศเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาแล้ว ยิ่งถือเป็นอันตรายและภัยคุกคามที่ภาครัฐจะต้องให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของ Social Media ที่สามารถก้าวข้ามการควบคุมตรวจสอบของรัฐ ในแบบเดิมๆ รวมถึงสามารถทะลุขีดจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่ ทำให้ภัยคุกคามจาก Social Media ในกรณีนี้ จำเป็นต้องใช้ หน่วยงานหรือทีมงานพิเศษที่ถูกจัดตั้งขึ้น โดยทีมงานนี้ควรประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่หลากหลายและครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ด้านเทคโนโลยี ด้านการข่าว ด้านจิตวิทยามวลชน ด้านการสื่อสาร รวมทั้ง ด้าน Social Media ด้วย
ขนาดสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ยังโดยการโฆษณาชวนเชื่อจนทำให้คนในบ้านของตัวเองกลายเป็นฐานกำลังให้กับผู้ก่อการร้ายซึ่งอยู่ไกลถึงคนละซีกโลก พูดถึงตรงนี้แล้ว อดนึกย้อนมาดูประเทศไทยของเราไม่ได้ หากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มต่างๆ หันมาใช้ Social Media หรือ สื่อบนโลกออนไลน์ เพื่อทำการโฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองให้คนในประเทศลุกขึ้นมาทำร้ายกันเอง แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ผมไม่มั่นใจว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงของเรา มีความพร้อมในการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ฝากให้ช่วยกันนำไปคิดและสะกิดเตือนให้ผู้ที่รับผิดชอบ ระแวดระวังภัยด้านความมั่นคงแบบใหม่นี้ ที่อยู่ใกล้ตาเรามาก จนบางทีเราเผลอมองข้ามไป
ชนัฐ เกิดประดับ
4 เมษายน 2560
ที่มาข่าว : NBC Chicago