ด้วยชื่อชั้นของ “สตูดิโอ จิบลิ” (Studio Ghibli Inc.) ซึ่งเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์แอนนิเมชั่นชั้นนำของญี่ปุ่น (หรือที่เรียกกันว่า “อะนิเมะ” ) ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะตีตั๋วเข้าชม “WHEN MARNIE WAS THERE” หรือชื่อไทยว่า “ฝันของฉันต้องมีเธอ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีโปรโมทกันออกมาว่าจะเป็น “ความประทับใจครั้งสุดท้ายจาก สตูดิโอ จิบลิ” ทำให้ผมยิ่งพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
ยอมรับว่าเมื่อดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ในครั้งแรก ผมเดาว่าน่าจะเป็นหนังแนวรักๆ ใสๆ ระหว่าง “หญิงกับหญิง” ซึ่งถือว่า เออ.. ก็น่าสนใจ ฉีกแนวดี แต่ปรากฏว่าเมื่อชมจนจบกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ใช่แล้วครับ แม้ว่า “WHEN MARNIE WAS THERE” จะเป็นภาพยนตร์แนว “หญิงรักหญิง” แต่เป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นความรักแบบข้ามกาลเวลา เป็นความรักแบบใสบริสุทธิ์ เป็นความรักที่แฝงด้วยความผูกพันและห่วงใย อย่างเต็มเปี่ยม สตูดิโอ จิบลิ ยังคงรักษาความละเมียดละไม เต็มไปด้วยจินตนาการ และเข้าถึงอารมณ์ ไม่ต่างจากภาพยนตร์ที่เคยสร้างชื่อให้กับสตูดิโอแห่งนี้มาแล้วอย่าง “Grave of the Fireflies” หรือ “สุสานหิ่งห้อย” ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวโศกนาฏกรรมชีวิตของพี่น้องกำพร้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เรื่องราวของ “When Marnie was there” เริ่มต้นที่เด็กสาวคนหนึ่งชื่อ “อันนะ” ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพคือ เป็นโรคหอบหืด แต่ลึกลงไปกว่านั้น เธอไม่เคยมีความสุข เธอเกลียดตัวเธอเอง “อันนะ” เป็นเด็กมีปมที่เข้ากับเพื่อนๆ ไม่ค่อยได้ เพราะมีโลกส่วนตัวสูง คุณแม่เธอเลยตัดสินใจให้พักการเรียนชั่วคราว และส่งเธอไปอยู่ในชนบทกับคุณลุงคุณป้าที่ใจดีมากๆ โดยหวังว่าอาการป่วยของเธอจะดีขึ้นเมื่อได้รับอากาศบริสุทธิ์ในชนบท
หนังเรื่องนี้ ค่อยๆ เฉลยออกมาทีละน้อยว่าแท้จริงแล้วแม่ของเธอไม่ใช่แม่แท้ๆ เธอเป็นเด็กที่ถูกรับมาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้ คือ เมื่อเธอได้มาที่ชนบทแห่งนี้ เธอได้พบกับบ้านทรงยุโรปริมบึง ที่เธอมีความรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันอย่างประหลาด และที่นั่นเองเธอได้พบกับ “มาร์นี่” (Marnie) สาวน้อยผมทอง ผู้มีความน่ารักและเป็นมิตร “อันนะ” รู้สึกถูกชะตากับ “มาร์นี่” อย่างบอกไม่ถูกและมักแวะเวียนไปหา “มาร์นี่” ที่บ้านหลังนั้นบ่อยๆ จนเกิดความรักและผูกพันกัน เรื่องราวดำเนินต่อไปอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฉากต่างๆ ที่เป็นแบคกราวด์ แม้ว่าจะเป็นการ์ตูน แต่ด้วยฝีมือระดับ สตูดิโอ จิบลิ ภาพที่ออกมา จึงสวยเกินบรรยาย ทำได้สมจริงและดูมีเสน่ห์ ล้ำลึก มาก
ตอนท้ายของเรื่อง “มาร์นี่” ก็หายไปจากชีวิตของ “อันนะ” อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ “อันนะ” เสียใจมาก แต่ปมก็ถูกเฉลยออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “มาร์นี่” ผมต้องปรบมือให้กับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ผูกเรื่องไว้ดีมากๆ โดยเฉพาะในฉากที่ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเฉลยออกมา ทำผมนั่งร้องไห้แบบที่ไม่อายใครเลย ทั้งๆ ที่เป็นแค่ภาพการ์ตูน แต่สีหน้าแววตาของตัวละครแต่ละตัว ที่สื่อออกมานั้น เข้าถึงอารมณ์จนผมรู้สึกอินมากมาย ถือว่า สตูดิโอ จิบลิ ยังรักษามาตรฐานคุณภาพในเรื่องแบบนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี ฝีมือไม่มีตกเลย
อีกอย่างที่ผมชอบ คือ ดนตรีและเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ คือไพเราะและบิ้วอารมณ์ได้ดีมาก นอกจากนั้น “WHEN MARNIE WAS THERE” ยังให้ข้อคิดเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก เรื่องความรักและความผูกพันของคนในครอบครัว รวมทั้งเรื่องมิตรภาพได้เป็นอย่างดี เป็นหนังที่เด็กดูได้ และผู้ใหญ่ดูดี แต่สำหรับเด็กๆ ที่เล็กเกินไป อาจจะดูไม่ค่อยสนุกเพราะอาจจะดูไม่เข้าใจในบางประเด็น ผมแนะนำว่า ควรเป็นเด็กระดับ ประถมปลายหรือ มัธยมต้นขึ้นไป น่าจะดูได้เข้าใจและสนุกกว่าเด็กเล็กๆ
สรุปว่า ผม ประทับใจ “WHEN MARNIE WAS THERE” มาก โดยในส่วนของ ความน่ารัก ความสวยงามทั้งฉากและตัวละคร เทคนิคด้านการวาด และ แอนนิเมชั่น ผมให้ที่ 9.5/10 สำหรับเพลงและดนตรีประกอบภาพยนตร์ ให้ 9/10 การดำเนินเรื่อง ให้ที่ 9.5/10 ส่วนข้อคิด ที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ให้ 9.5/10 สรุปภาพรวมผมให้ที่ 9.5/10 เป็นภาพยนตร์อะนิเมะ ที่น่ารัก สวยงาม น่าประทับใจ ให้ข้อคิด มีเสน่ห์ละเมียดละไม เข้าถึงอารมณ์ สรุปคือ “ครบเครื่องและไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง” ครับ
อาจารย์บอม