รีวิวหนัง Collateral Beauty โอกาสใหม่หนสอง

“จบในจอ แต่ไม่จบในใจ”

Collateral Beauty โอกาสใหม่หนสอง เป็นหนังอีกเรื่องที่หลังจากดูหนังจบ แล้วในใจผมไม่จบไปด้วยกับเหนัง เพราะยังมีประเด็นตามมาให้ขบคิดอีกเยอะครับ หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้น่าสนใจดีจะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้เข้าฉายได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ผมเพิ่งมีโอกาสได้ไปดู เรื่องย่อของหนังแบบรวดรัดตัดความ ก็มีอยู่ว่า “ฮาร์เวิด” (รับบทโดยวิล สมิธ) ผู้บริหารบริษัทโฆษณา ที่มากความสามารถ ได้สูญเสียลูกสาววัย 6 ขวบไปด้วยโรคมะเร็ง แกเลยเกิดอาการเสียศูนย์กับชีวิต หมกมุ่นอยู่แต่กับความเศร้า ถึงขั้นขอหย่าขาดจากเมียเลยเมื่อลูกตาย งานการไรก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำเพื่อนๆ ร่วมงานที่เป็นหุ้นส่วนก็ปวดหัวสิ เพราะเสียงานเสียการเสียลูกค้า นั่งแต่ซึม ขังตัวเองไม่พูดไม่จาอะไรกับใคร

วันดีคืนดี แกก็เขียนจดหมาย 3 ฉบับ หย่อนลงตู้ไปรษณีย์ จ่าหน้าซองถึง “ความตาย ความรัก และเวลา” เพื่อนก็คิดไอ้ที่เพี้ยนใหญ่แล้ววุ้ย เอาไงดีวะ ท้ายสุดไหนๆ ก็ไหนๆ วางแผนร่วมผสมโรงความเพี้ยน ของ ฮาร์เวิด ไปเลย เผื่อเพื่อนจะได้คิดอะไรขึ้นมาบ้าง ท้ายสุดเรื่องจะลงเอยอย่างไรแล้ว “ฮาร์เวิด” จะเพี้ยนจนหลุดโลกไปเลยหรือว่าแผนการของเพื่อนๆ จะดึงสติเขากลับมาได้ อันนี้ต้องไปติดตามกันเองในโรงภาพยนตร์นะจ๊ะ

ในส่วนของเนื้อหาของ Collateral Beauty โอกาสใหม่หนสอง ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก การดำเนินเรื่องงดงาม พร้อมแฝงข้อคิดดีๆ ไว้เยอะมาก ยิ่งดูยิ่งอิน คำคมเพียบ เรียกว่าหนังจบ คนดูไม่จบ ได้ประเด็นติดไม้ติดมือกลับมาขบคิดต่อที่บ้าน โดยเฉพาะคนที่มีปมในชีวิต ดูหนังจบแล้วอาจจะได้พบทางออกบางประการให้กับตัวเองได้ หนังมีซ่อนนัยยะเชิงสัญลักษณ์ไว้อยู่มากมายหลายตอนทีเดียว (หากสังเกตดีๆ) โดยเฉพาะฉากที่เล่นโดมิโนล้ม นี่คือได้คิดเลยนะว่า ดีดให้ล้มชิ้นเดียวส่งผลให้ล้มหมดทั้งขบวน สำหรับคะแนนรีวิวหนังเรื่อง Collateral Beauty โอกาสใหม่หนสอง ผมให้ที่ 9/10 “วิล สมิธ” เล่นได้ดีมากๆ สื่อออกมาได้เต็มๆ ทั้ง สีหน้าแววตา อารมณ์มาครบจริงๆ จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือการดำเนินเรื่องที่ซ่อนปมและมาเฉลยในฉากสุดท้ายได้อย่างน่ารักและน่าประทับใจ

สรุปหนังเรื่องนี้ หากท่านเป็นแฟน วิล สมิธ ชอบดูหนังดราม่า ซาบซึ้งปนเศร้าเคล้าน้ำตา แฝงข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องการใช้ชีวิตในยามที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียคนที่เรารัก อันนี้ต้องไปดู แล้วจะเข้าใจว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรับมือกับความสูญเสีย คือการยอมรับ แล้วเริ่มต้นใหม่ หากผ่านจุดนี้ไปไม่ได้ ชีวิตก็จะจ่อมจมอยู่กับความทุกข์แบบนั้นไปตลอด สรุปสั้นๆ หนังเรื่องนี้ดีมากๆ มีข้อคิดดีๆ ให้คนดูอย่างเรา เพียบจริงๆ ไปดูเถอะครับ ไม่ผิดหวัง เดินออกโรง อาจจะเป็นแบบผมคือ รู้สึกว่าหนัง “จบในจอ แต่ไม่จบในใจ”

อาจารย์บอม

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

About Ajbomb

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ