มีมิตรรักแฟนประจำได้ถามว่าอะไรคือความแตกต่างในการใช้งานคำว่า “All กับ Whole” ที่แปลว่า “ทั้งหมด” ได้ฟังคำถามแล้วอึ้งไป 5 วินาที ก่อนที่จะเริ่มลำดับความรู้ในสมองว่าสองคำนี้มีการใช้งานต่างกันตรงไหนบ้าง ขอเริ่มที่คำว่า
All (อ่านว่า ออล) แปลว่า “ทั้งหมด”
คำนี้เป็นได้ทั้งคำนามคำสรรพนาม คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์แปลว่า “ทั้งหมด,จำนวนทั้งหมด, ทุกคน” คำๆ นี้มีการใช้งานที่น่าสนใจแต่น่าสนใจแบบไหนอย่างไรมาลองมาดูกันที่ตัวอย่างนี้ดีกว่า
All of them need to go to school.
พวกเขาทั้งหมด จำเป็นต้องไปโรงเรียน
All the students need to go to school.
นักเรียนทั้งหมดจำเป็นต้องไปโรงเรียน
จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 ประโยคล้วนใช้ All เหมือนกันแต่ ประโยคแรก จะมีคำว่า of ตามหลัง All ส่วนประโยคที่ 2 จะตามด้วยคำนามคือ the students เลย ความแตกต่างในการใช้งานตรงนี้คือถ้าคำที่ตามหลัง All เป็นคำสรรพนาม ในรูปแบบที่เป็นกรรม (Object Pronoun) เราจะใช้ of ตามหลัง All แต่หากคำที่ตามหลัง All เป็นคำนาม เช่น the students ก็ไม่ต้องมี of ใช้เป็น All the students ได้เลย ทีนี้เรามาดูอีกคำที่มีความหมายเหมือนกันกับคำว่า All ดีกว่า นั่นคือ
Whole (อ่านว่า โฮล) แปลว่า “ทั้งหมด”
คำนี้เป็นได้ทั้งคำนามและคำคุณศัพท์ แปลว่า “ทั้งหมด, ทั้งสิ้น, สมบูรณ์, ครบถ้วน.”
หากมองเผินๆ ในด้านคำแปลและความหมายนั้น ทั้ง Whole และ All มีความหมายที่ใกล้เคียงกันมาก แต่หากจะแยกแยะการใช้งานกันจริงๆ สองคำนี้มีความแตกต่างกันอยู่ตรงที่ All จะใช้กับของหรือคนจำนวนมากที่มาอยู่รวมกัน (ยังมองเป็น “จำนวนมาก” อยู่) แต่ Whole
จะมองการรวมกันทั้งหมดนี้เป็น “หนึ่งเดียว” เช่น กลุ่มเดียว หรือพวกเดียว ดังนั้นคำนามที่ตามหลัง All จะอยู่ในรูปพหูพจน์ ส่วนคำนามที่ตามหลัง Whole จะอยู่ในรูปเอกพจน์ มาดูตัวอย่างกัน
หากมองเผินๆ ในด้านคำแปลและความหมายนั้น ทั้ง Whole และ All มีความหมายที่ใกล้เคียงกันมาก แต่หากจะแยกแยะการใช้งานกันจริงๆ สองคำนี้มีความแตกต่างกันอยู่ตรงที่ All จะใช้กับของหรือคนจำนวนมากที่มาอยู่รวมกัน (ยังมองเป็น “จำนวนมาก” อยู่) แต่ Whole
จะมองการรวมกันทั้งหมดนี้เป็น “หนึ่งเดียว” เช่น กลุ่มเดียว หรือพวกเดียว ดังนั้นคำนามที่ตามหลัง All จะอยู่ในรูปพหูพจน์ ส่วนคำนามที่ตามหลัง Whole จะอยู่ในรูปเอกพจน์ มาดูตัวอย่างกัน
All the students need to go to school.
นักเรียนทั้งหมดจำเป็นต้องไปโรงเรียน
The whole group needs to go to school.
ทั้งกลุ่มนี้จำเป็นต้องไปโรงเรียน
จากตัวอย่างจะเห็นว่าเมื่อใช้ All เรามองนักเรียนเป็นพหูพจน์ ดังนั้น Students จึงเติม s แต่เมื่อเราใช้ Whole เราจะมอง Group เป็นเอกพจน์ จึงไม่เติมs ดังนั้น All จะใช้ในกรณีที่เป็นพหูพจน์คือมองเป็นของ “หลายสิ่ง” รวมตัวกัน แต่ Whole จะเป็นการมองแบบเอกพจน์ คือ หลายสิ่งรวมกันเป็น “หนึ่งเดียว”
หากคราวหน้ามีเวลาจะนำเรื่องราวของ All กับ Whole ในมิติของกาลเวลาและการใช้งานด้านอื่นๆ มาเล่าให้ฟังอีกแต่สำหรับวันนี้เนื้อที่หมดแล้ว ขอจบไว้เท่านี้ก่อนครับ