หากจะมีหนังสักเรื่องที่สะท้อนมุมมอง “หมา” ที่มีต่อมนุษย์และสังคม และดันเป็นหมาที่มีความพิเศษตรงที่ระลึกชาติได้อีกด้วย คงจะเป็นหนังที่น่าสนใจไม่น้อย และในที่สุด ก็มีหนังอย่างที่ผมว่าขึ้นมา จริงๆ “ หมา เป้าหมายและเด็กชายของผม หรือ A Dog’s Purpose “ คือหนังเรื่องที่ผมกำลังพูดถึงในวันนี้
หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นจาก นวนิยายขายดีของ W. Bruce Cameron ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเจ้าหมาตัวหนึ่ง ผ่านมุมมองและสายตาแบบหมาๆ เจ้าหมาตัวนี้ได้เกิดแล้วตาย ได้ตายแล้วเกิดใหม่ ซ้ำๆ กันอยู่หลายภพหลายชาติ แต่เกิดกี่ที ก็ยังเกิดเป็นหมาอยู่ดีนั่นล่ะ เพียงแต่ต่างสายพันธุ์ต่างภารกิจ ต่างสิ่งแวดล้อมกันไป แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่มันไม่เข้าใจและมีคำถามกับตัวเองอยู่เสมอมาทุกชาติว่า ตรูจะเกิดมาทำไม(วะ)?
ความเข้มข้นของเรื่องราว เริ่มจากชาติหนึ่งที่ เจ้าหมาตัวนี้มาเกิดและได้ชื่อว่า “เบลี่ย์” โดยโชคชะตาฟ้าลิขิตนำให้มันได้ไปอยู่กับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งทำให้มันเกิดความรักและผูกพันกับ “อีธาน” (รับบทโดย K.J. Apa) ซึ่งเป็นเจ้าของมัน โดยมันเติบโตขึ้นมากับเขา ตั้งแต่เขายังเด็กจน “อีธาน” เติบโตเป็นหนุ่ม อย่างไรก็ตามเจ้าหมาตัวนี้ก็ได้ ตายจากเจ้านายที่มันรักและผูกพัน ในที่สุด แต่แล้วมันก็ได้ไปเกิด (เป็นหมา) ซ้ำแล้วซ้ำอีกในชาติต่อๆ มา ซึ่งในแต่ละชาติ มันก็ได้ไปอยู่กับเจ้านายในหลายรูปแบบ แต่มันก็ยังหาคำตอบให้ชีวิตไม่ได้ว่า มันจะเกิดมา (ซ้ำๆ ) อีกทำไมและเพื่ออะไร
จนกระทั่งชาติสุดท้าย มันได้เกิด (เป็นหมา อีกล่ะ) แต่คราวนี้มันได้มีโอกาสกลับมาเจอเจ้านายเก่าที่มันรักและผูกพันอย่าง “อีธาน” ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นชายสูงวัยไปแล้ว (รับบทโดย Dennis Quaid) เจ้าหมา “เบลี่ย์“ ในชาตินี้ พยายามอย่างมากที่จะให้ “อีธาน” จำได้ว่ามันคือ “เบลี่ย์” (เพราะเกิดชาตินี้มาเป็นหมาอีกสายพันธุ์หนึ่ง ซึ่งหน้าตาไม่เหมือนเดิม) นอกจากพยายามที่จะทำให้เจ้านายจำมันได้แล้ว มันยังมีภารกิจที่ต้องช่วยแก้ปมบางอย่างในใจของเจ้านายมันด้วย สุดท้ายเจ้าหมาน้อยก็ค้นพบว่าจุดประสงค์แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ของหมาอย่างมันคืออะไร
สำหรับคะแนน รีวิวหนัง A Dog’s Purpose หมา เป้าหมายและเด็กชายของผม นั้นในส่วนของดารานักแสดง หลักๆ ก็คงเป็นหมา (ซึ่งให้เสียงพากษ์โดย Josh Gad ผู้เคยพากษ์เสียง โอลาฟ ใน Frozen) และตัว “อีธาน” ซึ่งใช้ตัวแสดงถึงสามคน คือวัยเด็ก วัยหนุ่มและ วัยชรา ซึ่งก็แสดงได้ดี แม้จะไม่เด่นเท่าหมา (555) แต่ก็ไม่ได้ด้อยจนทำให้เสียหมา เอ๊ย เสียหนัง ผมขอให้คะแนนในส่วนของนักแสดงที่ 8.5/10 แต่ขอให้คะแนนการแสดงของหมาแยกต่างหาก 9.5/10 ในส่วนของผู้กำกับอย่าง Lasse Hallström ต้องยอมรับว่าการกำกับหมา ซึ่งน่าจะยากกว่า กำกับคน (เพราะต้องคุยกับหมาให้รู้เรื่องรู้ราวด้วย 555) อันนี้ทำออกมาได้ดีครับ อย่างที่บอกหมาแต่ละชาติแต่ละสายพันธุ์ ล้วนแสดงและสื่ออกมาได้ดีทั้งสีหน้าแววตา อันนี้ต้องให้เครดิตกับผู้กำกับเขา ผมให้ในส่วนนี้ที่ 9/10 ในส่วนของการดำเนินเรื่อง สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับหมา หรือ รักหมาอะไรมากมายนัก อาจจะรู้สึกว่าการดำเนินเรื่องไป แบบเฉยๆ เนือยๆ แต่สำหรับคนรักหมาอย่างผม บอกได้คำเดียวครับว่า “อินและฟิน” แน่นอน ในส่วนนี้ผมให้ 9/10 และที่เด็ดสุดของ A Dog’s Purpose หมา เป้าหมายและเด็กชายของผม คือ “ข้อคิด” ที่ได้จากหนัง หนังเรื่องนี้ทิ้งคำตอบไว้อย่างแหลมคมว่า “การมีชีวิตอยู่นั้นเพื่ออะไร” แต่ผมไม่เฉลยนะครับ อยากให้ไปดูเองว่าข้อคิดอะไร ที่ “หมา” กระตุกให้ “คน” อย่างเราได้คิดตามว่า เออ แล้วเราล่ะ คนอย่างเรานั้น มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ในส่วนข้อคิดจากหนังนี้ ผมให้เต็มครับ10/10 สรุปคะแนนหนังเรื่องนี้ ผมให้ที่ 9.5/10
สำหรับคนที่ไม่ค่อยอินเท่าไรกับเรื่องหมาๆ แมวๆ อาจจะนั่งดูหนังเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกว่าการดำเนินเรื่องนั้นดู เอื่อยๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่สำหรับคนที่เคยเลี้ยงหมามาก่อน ผมรับรองว่าจะต้องมีเสียน้ำตาให้กับหนังเรื่องนี้ ไม่ต่ำกว่า 3 ฉากอย่างแน่นอน คนรักหมารักแมว และชอบหนังที่ให้ข้อคิด คติ ชีวิตไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง ผมขอเอาเกียรติของความเป็น “ทาสหมา” ที่ผมมีอยู่ ทั้งหมด เป็นประกันเลยครับว่าหนังเขาดีจริงๆ
อาจารย์บอม