ตั้งแต่ต้นปี 2558 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าสถานการณ์หนังไทยจะไม่ค่อยดีนักทั้งในแง่รายได้และกระแสความนิยม แต่ในเดือนนี้ (กย.58) จะมีหนังใหม่ ของ GTH ค่ายหนังซึ่งฝากผลงานด้านรายได้อย่างถล่มทลายมาแล้วจากภาพยนตร์หลายๆ เรื่องในอดีต คราวนี้ GTH ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง ”เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์” ที่เคยเขียนบท “รถไฟฟ้า มาหานะเธอ” และ “วัยรุ่นพันล้าน” มากำกับภาพยนตร์เรื่อง “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” โดยได้พระเอกตลกหน้านิ่ง อย่าง “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” และนางเอกสาวหน้าหวานอย่าง “ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่” มาเป็นคู่พระคู่นางในเรื่องนี้
เรื่องราวของ “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” เริ่มที่ “ยุ่น” (รับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ซึ่งทำงาน เป็นนักรีทัชรูป อิสระ (Freelance) ซึ่งมักจะทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนร่างกายของเขาเริ่มจะออกอาการย่ำแย่ และจากการที่อดหลับอดนอนติดๆ กันหลายๆ คืน จึงเกิดผื่นแดงขึ้นเต็มตัว จน “ยุ่น” แทบจะทำงานทำการไม่ได้ เขาจึงจำใจต้องไปหาหมอ และ เลือกที่จะไปใช้บริการของโรงพยาบาลรัฐ เพราะอยากประหยัดเงิน
ที่โรงพยาบาลของรัฐ เขาได้รับการรักษาจาก “หมออิม” (รับบทโดย ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่) ซึ่งเป็นคุณหมอโรคผิวหนังที่งานยุ่งเหลือเกิน เพราะโรงพยาบาลของรัฐ จะมีคนไข้มารอให้หมอรักษาเยอะมาก เมื่อ “ยุ่น” ได้เจอกับหมอ ซึ่งมีอายุพอๆ กัน และที่สำคัญคือมีหน้าตาน่ารักและพูดจาได้กวนประสาทและเกรียนนพอๆ กันกับคนไข้อย่าง “ยุ่น” พระเอก “ยุ่น” ของเราก็เลยเกิดอาการ ตกหลุมรัก “คุณหมอ” ขึ้นในโดยไม่ทันตั้งตัว
“ยุ่น” จะมีโอกาสเจอหน้ากับ “หมออิม” เดือนละครั้ง ไม่ใช่นัดออกเดทกัน แต่เพราะหมอนัดให้เขามาตรวจดูอาการ การรอที่จะได้พบหมอ ด้วยความคิดถึง ทำให้ “ยุ่น” เริ่มทำงานได้ช้าลงเพราะจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวและพยายามปฏิบัติตัวตามที่หมอสั่ง เช่นให้นอนเร็วขึ้น ออกกำลังกาย หรือแม้แต่พาตัวเองไปเที่ยวพักผ่อนชายทะเล ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่องานฟรีแลนซ์ของเขาเป็นอย่างมาก จนพลาดงานไปหลายงานและโดนโปรดิวเซอร์ ที่จ่ายงานให้อย่าง “เจ๋” (รับบทโดย วี วิโอเล็ต วอเทียร์) เริ่มบ่นและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ยุ่น” เหตุการณ์จะลงเอยอย่างไร และอาการคิดถึงใครสักคนระหว่างทำงานของ “ยุ่น” จะรักษาให้หายได้ไหมและท้ายสุดเขาจะตกงานหรือเปล่า ขอเชิญท่านผู้อ่านไปติดตามชมต่อกันในโรงภาพยนตร์ได้เลยครับ
ภาพยนตร์เรื่อง “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ถือเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของนางเอก “ใหม่ ดาวิกา” จากบทสาวสวย แนวพีเรียดย้อนยุค อย่าง “แม่นาค พระโขนง” หรือ “เรียม” ใน “แผลเก่า” มาเป็นบทหมอรักษาผิวหนัง ซึ่งไม่แต่งหน้า เป็นสาวหน้าสด ที่สวยแบบธรรมชาติ โดยเธอถึงขั้นถูกส่งไปฝึกวิธีการพูดจากและวางตัวกับหมอที่รักษาโรคผิวหนังในโรงพยาบาลจริงๆ เลยทีเดียว ทางฝั่งพระเอกของเรา อย่าง “ซันนี่” คาแรคเตอร์ของเขาในเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ออกแนวกวนโทโสแบบคนมั่นใจตัวเองสุดๆ อย่างในเรื่องก่อนๆ ที่เขาเคยแสดง แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะเห็นเขาเป็นผู้ชายที่ ค่อนข้างเขินอายและไม่มั่นใจตัวเองมากนัก
นอกเหนือจากดารานักแสดงแล้ว เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง “ Vacation Time” ก็กลายเป็นเพลงฮิตติดหูไปอย่างรวดเร็ว โดยได้นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง “แสตมป์ อภิวัชร์” มาดัดแปลงเนื้อร้องให้เป็นภาษาไทยจากต้นฉบับที่เป็นเพลงภาษาอังกฤษของวง Part Time Musician ซึ่งในฉบับภาษาไทย “แสตมป์ อภิวัชร์” ร้องคู่กับน้อง “วี วิโอเล็ต วอเทียร์” ซึ่งผมถือว่าไพเราะมีเสน่ห์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าต้นฉบับเลย (แต่ถ้าจะรอฟังเพลงในโรงภาพยนตร์ จะต้องรอจนหนังจบ เพลงนี้จะมาท้าย end credit เลยทีเดียว)
หากท่านมองว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นหนังแนวเบาๆ ตลกโปกฮาหรือขำจนตกเก้าอี้ แบบ “แอมฟายน์ แทงกิ้ว เลิฟยู” ผมขอบอกว่าท่านจะผิดหวัง แม้ว่าตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมาจะทำให้อาจท่านคิดแบบนั้น หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ตลกร้าย เป็นหนังที่ค่อนข้างหนัก และมีความซีเรียสแฝงอยู่แทบตลอดเรื่อง หลายฉากหลายตอนทำให้คนนั่งดูรู้สึกอึดอัดไปกับสถานการณ์ในภาพยนตร์ด้วย ต้องชมว่าผู้กำกับทำหนังได้แนวดี ทำให้คนดูอึดอัด และเครียดได้ทั้งๆ ที่ตอนแรกนึกว่าเข้าไปดูหนังตลกโรแมนติค
คะแนนในส่วนของบทภาพยนตร์เรื่อง “ ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” ค่อนข้างโดดเด่น ให้ที่ 9/10 หลายฉากหลายตอนทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดและลุ้นระทึกไปด้วย สำหรับในส่วนของมุมกล้องและภาพ ให้ที่ 8.5/10 ส่วนของนักแสดงนำทั้ง “ซันนี่” และ “ใหม่ ดาวิกา” แสดงได้ดีเยี่ยม เข้าถึงบทและส่งอารมณ์ได้ดีทั้งท่าทางและแววตา (แม้ว่าบทของ “ใหม่ ดาวิกา” จะมีน้อยมาก)ให้ที่ 9.5/10 สาระและข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ ที่ 10/10 ดูแล้วจะเข้าใจชีวิตคนทำงานฟรีแลนซ์และความโหดของวงการนี้ได้เป็นอย่างดี ถือว่าสะท้อนออกมาได้ดีมาก และให้ข้อคิดเรื่องเกี่ยวกับชีวิต งาน และสุขภาพได้ดีมากๆ โดยภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ผมให้ที่ 9/10 หากท่านคาดหวังจะได้สาระและข้อคิดกลับไป ผมว่าคุ้มค่า (ส่วนตัวผม เดินออกจากโรงแบบมึนๆ งงๆ ค่อนข้างปวดหัวนิดๆ สงสัยใช้ความคิดมากไป) แต่หากอยากชมภาพยนตร์ตลกเบาสมอง ฮากระจาย แบบไม่เครียด ไม่ต้องคิดอะไรมาก ผมไม่แนะนำสำหรับหนังเรื่องนี้ อย่าดูเลยเดี๋ยวจะเครียดเปล่าๆ ครับ
อาจารย์บอม
น่ารัก