ยอมรับว่าคลิปตัวอย่างที่ใช้ในการโปรโมทหนังเรื่องนี้ ทำออกมาได้ค่อนข้างดีพอที่จะเร้าจิตกระตุ้นใจให้ผมตีตั๋วเข้าไปดู “สี่เส้า หรือ Love is” ของค่าย NGR แต่เมื่อดูจบออกจากโรงมา ผมยอมรับว่าค่อนข้างผิดหวัง ส่วนจะผิดหวังอย่างไร สักครู่ผมจะเล่าให้ฟัง
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มที่ อาฉิง (รับบทโดย ฟาง ชนันต์ธรญ์ นีระสิงห์) กับ อาเว่ย (รับบทโดย เวฟ คูเป่ย) ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาด้วยกันโดยอาม่าที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย โดยตลอดเวลานั้น อาเว่ย แอบหลงรัก อาฉิง มาตลอด แต่อาฉิงรักอาเว่ยแบบเพื่อน
เมื่อเติบโตขึ้น อาฉิง ก็คบหาเป็นแฟนกับ หนุ่มหล่อนิสัยดี ที่เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาที่มหาลัย ชื่อ “กมล” (รับบทโดย เต้ย พงศกร) ซึ่งทั้งสองคนก็รักกันและมีแผนที่จะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ แต่ท้ายสุด คนที่ได้แต่งงานก่อน กลับเป็น อาเว่ย ที่โดนจับคลุมถุงชนแต่งงานกับ “เสี่ยวผิง” (รับบทโดย เวนดี้ หว่อง) ซึ่งเป็นเพื่อนของทั้ง กมล และ อาฉิง แต่เขานั้นไม่ได้รัก เสี่ยวผิง แต่ก็จำยอมแต่งงานตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ ชีวิตคู่ของเขาจึงไม่ได้มีความสุขอะไรเลย แม้ว่า เสี่ยวผิง จะรักเขามากๆ ก็ตาม
จุดหักเหของเรื่องคือ กมล ประสบอุบัติเหตุจนทำให้ถึงกับ ตาบอด แม้จะยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกันกับกมล แต่ อาฉิง ก็สวมวิญญาณนางเอกสุดๆ คือ สัญญาต่อหน้าพ่อแม่ของกมลว่าจะดูแลกมลที่ตาบอดไปตลอดชีวิต ส่วนอาเว่ยนั้น แบบแค้นมาก จนถึงขนาดพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดกมลออกไปจากโลกใบนี้ แต่ก็พลาดไม่สำเร็จ เลยกลายเป็นโศกนาฏกรรมหักมุมในตอนท้าย(แต่ก็เป็นการหักมุมที่พอจะเดาทางได้อยู่ดี) ส่วนฉากจบจะลงเอยแบบไหนอย่างไร ไปตามดูกันได้ในโรงภาพยนตร์นะครับ
ในความเห็นส่วนตัวผม หนังเรื่องนี้ ถือเป็นการเสียของอย่างมหาศาล ทั้งๆ ที่ ทีมงานวางตัวนักแสดงไว้ได้ค่อนข้างดี นักแสดงนำแต่ละคน ล้วนมีฐานแฟนคลับของตัวเองมากพอสมควร แต่จุดอ่อนของหนังเรื่องนี้ กลับอยู่ที่บทภาพยนตร์ ซึ่งออกจะล้นๆ เกินๆ ยังไงก็ไม่รู้ ในหลายฉากหลายตอน ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เวลานำเสมอให้มากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังทำ ซึ่งความเยอะในลักษณะเช่นที่ว่านี้ ทำให้การดำเนินเรื่องดูยืดเยื้อน่าเบื่อหน่าย หากสามารถตัดบางช่วงบางตอนให้กระชับจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูสนุกสนานและน่าสนใจมากขึ้น
อีกประเด็นที่เป็นจุดอ่อนของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ เก็บรายละเอียดบางอย่างที่สำคัญได้ไม่ดีพอ แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม หากแต่มีผลทำให้ความสมจริงของหนังดูด้อยลงไป ยกตัวอย่างเช่น เช่นฉากที่ พระเอกยังตาบอดอยู่ แต่สามารถเดินไปปักธูปได้อย่างแม่นยำ หรือ ขาแว่นที่เหน็บอยู่บนเสื้อของพระเอก อ้าออกจะเกือบจะหลุดจากเสื้อในขณะก้มปักธูป และพระเอกเผลอเอามือไปจับให้เข้าที่ ซึ่งที่ดีควรเทคใหม่ ไม่น่าปล่อยให้ผ่านออกมาสู่จอ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ทำให้คนดูรู้สึกสะดุด แบบไม่ตั้งใจ
ในส่วนของการแอคติ้ง อย่างเช่นของ อาเว่ย (รับบทโดย เวฟ) ออกจะดูเยอะและล้นไปในหลายฉาก สำหรับผมคิดว่าเขาแสดงใช้ได้ แต่ยังถือว่าไม่เป็นธรรมชาตินัก เมื่อเทียบกับดารานำที่เหลือ บ่นมาเยอะล่ะ ขอชมหน่อย เรื่องความน่ารัก ผมยกให้พระเอกนางเอกของเรื่องนี้ คือ “ฟาง และ เต้ย” สองคนนี้ ถือว่าทำได้ดี แม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่สำหรับผมให้ผ่านครับ
ถ้าจะให้นิยามหนังเรื่องนี้ คือขาดความกลมกล่อม (เหมือนจะ) พยายามยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงไปในหนังมากจนเกินไป ทำให้ภาพรวมเลยดูไม่ลงตัว และ อย่างที่บอกแล้วว่า บางฉาก บางตอน ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้เพราะไม่ได้ช่วยในการเล่าเรื่องหรือปูเรื่องอะไรเลย รวมทั้งขาดความประณีตในรายละเอียดที่สำคัญบางอย่าง จนทำให้คนดูสะดุด ในความไม่สมจริงของเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สี่เส้า” เป็นหนังที่เน้นสื่อเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นเรื่องของความสมจริงในบางรายละเอียด จึงถือว่ามีความจำเป็น
สำหรับคะแนนของภาพยนตร์ เรื่อง “สี่เส้า หรือ Love is” นี้ ในส่วนของการดำเนินเรื่อง ผมให้ 7/10 บทภาพยนตร์ผมให้ 6/10 ที่ให้น้อยเพราะดูขาดๆ ล้นๆ บอกไม่ถูก แต่เอาเป็นว่า ผมไม่ปลื้ม ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก แต่ก็เป็นข้อคิดที่ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ ทุกคนก็เคยรู้เคยได้ยินอยู่แล้ว ในส่วนนี้ผมจึงให้ที่ 7/10 ในส่วนของดารานักแสดง แต่ละคนล้วนมีความสามารถ แต่บทที่ส่งให้นั้น มาแบบขาดๆ เกินๆ จึงทำให้หลายฉากที่ควรจะออกมาแบบ ซาบซึ้งกลายเป็นตลกไปซะ (โดยเฉพาะแอคติ้งหน้าตาของ เวฟ คูเป่ย ดูออกจะเยอะเกินไปในบางฉาก) ส่วน “ฟาง” หรือ “อาฉิง” เล่นได้ดีงาม น่ารัก รวมทั้ง “เต้ย พงศกร” หรือ “กมล” ก็แสดงได้โอเค ส่วนนี้จึงได้ไปที่ 8/10 โดยสรุป ภาพรวม ให้ที่ 7/10 คือพอดูได้ หากมีใจอยากสนับสนุนหนังไทย แต่ไม่ได้สนุกมากมายอะไรนัก พล็อตเรื่อง ก็ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นหรือตื่นเต้น เพราะคาดเดาได้ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่หากเป็นแฟนคลับ ของ “ฟาง เต้ย หรือ เวฟ” อันนี้ตีตั๋ว เข้าไปดูความน่ารัก และฝีมือการแสดงของพวกเขา ก็ถือว่า “พอไหว” แต่ถ้ามีงบจำกัด ก็เก็บตังไว้ดูเรื่องอื่นเถิดครับ
อาจารย์บอม
ยกตัวอย่างเช่น เช่นฉากที่ พระเอกยังตาบอดอยู่ แต่สามารถเดินไปปักธูปได้อย่างแม่นยำ หรือ ขาแว่นที่เหน็บอยู่บนเสื้อของพระเอก อ้าออกจะเกือบจะหลุดจากเสื้อในขณะก้มปักธูป และพระเอกเผลอเอามือไปจับให้เข้าที่
พอดีอ่านแล้ว ในฐานะคนที่ไปดู ฉากนี้คือ กมล หายตาบอดแล้วค่ะ โดยการได้รับบริจาคดวงตามาค่ะ
และพอถัดจากฉากนี้ เป็นฉาก ที่ฉายทีเซอร์งานแต่งงาน ณ ตอนนั้นกมล เพิ่งจะหายจากการตาบอด เขาย้อนทามไลน์เรื่องเกี่ยวกับเวลาค่ะ พี่เลยอาจจะเข้าใจผิดได้
ยังไงขอบคุณที่รีวิวให้อ่านนะค่าา
ขอบคุณครับ ที่ติดตามอ่านและเขียนมาแบ่งปันไอเดีย ผมน่าจะสับสนจริงๆ กับการลำดับเรื่องราวครับ สงสัยจะต้องกลับไปดูอีกรอบ ฮ่าๆๆ
ขอบคุณนะครับ ที่ติดตามอ่านและแวะมาแสดงความคิดเห็นครับ 🙂